ยินดีต้อนรับสู่ WEB BLOGGER ของเราครับ
ข่าวครูบ้านนอก

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การเมืองปกครองของไทยสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น               การจัดระเบียบการปกครองของไทยสมัยธนบุรี ยังคงใช้รูปแบบเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เนื่องจากบ้านเมืองกำลังอยู่ในระยะเริ่มฟื้นตัวใหม่ๆ จึงยังไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ
การปกครองส่วนกลาง (ภายในราชธานี)มีอัครมหาเสนาบดี 2 ฝ่าย
    
- ฝ่ายทหาร คือ สมุหกลาโหม
    
- ฝ่ายพลเรือน คือ สมุหนายก
นอกจากนี้ยังมีเสนาบดีจตุสดมภ์อีก 4 ฝ่าย ได้แก่  นครบาล(กรมเมือง), พระธรรมาธิกรณ์(กรมวัง), พระโกษาธิบดี(กรมคลัง)และพระเกษตราธิการ(กรมนา)
การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งหัวเมืองออกเป็น 3 ระดับ คือ หัวเมืองชั้นใน,ชั้นนอก และประเทศราช
    
- หัวเมืองชั้นใน เป็นเมืองขนาดเล็กอยู่รายรอบราชธานี เจ้าเมืองเรียกว่า "ผู้รั้ง"
    
- หัวเมืองชั้นนอก เป็นเมืองขนาดใหญ่และอยู่ห่างไกลจากราชธานีออกไปแบ่งออกเป็นหัวเมืองเอก โท ตรี ตามลำดับความสำคัญ
    
- หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองต่างชาติต่างภาษาให้เจ้านายปกครองกันเองแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย ได้แก่ ลาว เขมร และเชียงใหม่

สภาพทางการเมืองในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ยังคงรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอันเป็นระบบการปกครองที่สืบทอดมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงภายในตัวระบบอยู่ที่การปรับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ รูปแบบของสถาบ้นกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คลายความเป็นเทวราชาลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กลับเน้นคติและรูปแบบของธรรมราชาขึ้นแทนที่ อย่างไรก็ตาม อำนาจอันล้นพ้นของพระมหากษัตริย์ก็มีอยู่แต่ในทางทฤษฎี เพราะในทางปฏิบัติ พระราชอำนาจของพระองค์กลับถูกจำกัดลงด้วยคติธรรมในการปกครอง ซึ่งอิงหลักธรรมของพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรม กับอีกประการหนึ่ง คือ การถูกแบ่งพระราชอำนาจตามการจัดระเบียบควบคุมในระบบไพร่ ซึ่งถือกันว่า พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง แต่ในทางปฏิบัติพระองค์ก็มิอาจจะควบคุมดูแลไพร่พลเป็นจำนวนมากได้ทั่วถึง จึงต้องแบ่งพระราชอำนาจในการบังคับบัญชากำลังคนให้กับมูลนายในระดับรองๆ ลงมา ในลักษณะเช่นนั้น มูลนายที่ได้รับมอบหมายให้กำกับไพร่และบริหารราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณ จึงเป็นกลุ่มอำนาจมีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มใดจะมีอำนาจเหนือกลุ่มใดก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมของสังคมในขณะนั้นเป็นสำคัญ

การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดฯ ให้คืนเขตการปกครองในหัวเมืองภาคใต้กลับให้สมุหกลาโหมตามเดิม ส่วนสมุหนายกให้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ ส่วนพระคลังดูแลหัวเมืองชายทะเล ในด้านระบบการบริหาร ก็ยังคงมีอัครมหาเสนาบดี ๒ ฝ่าย คือ สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายทหาร ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดีจตุสดมภ์ แบ่งตามชื่อกรมที่มีอยู่คือ เวียง วัง คลังและ นา ในบรรดาเสนาทั้ง ๔ กรมนี้ เสนาบดีกรมคลังจะมีบทบาทและภาระหน้าที่มากที่สุด คือนอกจากจะบริหารการคลังของประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออกเสนาบดีทั้งหลายมีอำนาจสั่งการภายในเขตความรับผิดชอบของตน รูปแบบที่ถือปฏิบัติก็คือ ส่งคำสั่งและรับรายงานจากเมืองในสังกัดของตน ถ้ามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น เสนาบดีเจ้าสังกัดจะเป็นแม่ทัพออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย มีศาลของตัวเองและสิทธิในการเก็บภาษีอากรในดินแดนสังกัดของตน รวมทั้งดูแลการลักเลขทะเบียนกำลังคนในสังกัดด้วย

การบริหารในระดับต่ำลงมา
อาศัยรูปแบบการปกครองคนในระบบไพร่ คือ แบ่งฝ่ายงานออกเป็นกรมกองต่างๆ แต่ละกรมกอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการควบคุมกำลังคนในสังกัดของตน โครงสร้างของแต่ละกรม ประกอบด้วยขุนนางข้าราชการอย่างน้อย ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้ากรม ปลัดกรม และสมุห์บัญชี กรมมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กรมใหญ่มักเป็นกรมสำคัญ เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ถึงขนาดเจ้าพระยาหรือพระยา

กรมของเจ้านายที่มีความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ กรมของพระมหาอุปราช ซึ่งเรียกกันว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมของพระองค์มีไพร่พลขึ้นสังกัดมาก กรมของเจ้านายมิได้ทำหน้าที่บริหารราชการโดยตรง ถือเป็นกรมที่ควบคุมกำลังคนเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น การแต่งตั้งเจ้านายขึ้นทรงกรมจึงเป็นการให้ทั้งความสำคัญ เกียรติยศ และความมั่นคงเพราะไพร่พลในครอบครองเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของมูลนายผู้เป็นเจ้าของการบริหารราชการส่วนกลาง มีพระมหากษัตริย์เป็นมูลนายระดับสูงสุด เจ้านายกับขุนนางข้าราชการผู้บังคับบัญชากรมต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ฐานะเป็นมูลนายในระดับสูง ช่วยบริหารราชการ โดยมีนายหมวด นายกอง เป็นมูลนายระดับล่างอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำหน้าที่ควบคุมไพร่อีกต่อหนึ่ง การสั่งราชการจะผ่านลำดับชั้นของมูลนายลงมาจนถึงไพร่
สำหรับการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองหัวเมือง ขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดี ๒ ท่าน และเสนาบดีคลัง ดังได้กล่าวไว้ข้างต้นหัวเมืองแบ่งออกเป็นสองชั้นใหญ่ๆ ได้แก่ หัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นอก การแบ่งหัวเมืองยังมีอีกวิธีหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น คือ เอก โท ตรี จัตวา ตามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และราษฎร
- หัวเมืองชั้นใน เป็นหน่วยปกครองที่อยู่ใกล้เมืองหลวง มีเจ้าเมืองหรือผู้รั้ง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าปกครองดูแล
- หัวเมืองชั้นนอก มีทั้งหัวเมืองใหญ่ หัวเมืองรอง และหัวเมืองชายแดน หัวเมืองเหล่านี้ อยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมือง และข้าราชการในเมืองนั้นๆ

นโยบายที่ใช้ในการปกครองหัวเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความกระชับยิ่งขึ้น กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงออกพระราชกำหนดตัดทอนอำนาจเจ้าเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการที่สำคัญๆ ทุกตำแหน่ง โดยโอนอำนาจการแต่งตั้งจากกรมเมืองในเมืองหลวง นับเป็นการขยายอำนาจของส่วนกลาง โดยอาศัยการสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นกับเจ้านายทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งเจ้าเมือง และข้าราชการที่แต่งตั้งตนในส่วนกลาง ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ต้องรายงานตัวต่อผู้ตั้งทุกปี ทั้งนี้เพื่อผลในการควบคุมไพร่พลและเกณฑ์ไพร่มาใช้ เพราะฉะนั้น มูลนายในเมืองหลวงจึงได้ควบคุมสัสดีต่างจังหวัดอย่างใกล้ชิด

ส่วนการปกครองในประเทศราช เช่น ลาว เขมร มลายู นั้น ไทยใช้วิธีปกครองโดยทางอ้อม ส่วนใหญ่จะปลูกฝังความนิยมไทยลงในความรู้สึกของเจ้านายเมืองขึ้น โดยการนำเจ้านายจากประเทศราชมาอบรมเลี้ยงดูในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระมหากษัตริย์ในราชสำนักไทยหรือสนับสนุนให้มีการแต่งงานกันระหว่างเจ้านายทั้งสองฝ่าย และภายหลังก็ส่งเจ้านายพระองค์นั้นไปปกครองเมืองประเทศราช ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกันขึ้นระหว่างกษัตริย์ไทยกับเจ้านายเมืองขึ้น การปกครอง หรือการขยายอำนาจอิทธิพลในอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ ฝ่ายไทยและประเทศราชไม่มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ขึ้นกับอำนาจความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น ในช่วงใดที่ประเทศอ่อนแอ เมืองขึ้นก็อาจแข็งเมืองหรือหันไปหาแหล่งอำนาจใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่ออำนาจตะวันออกแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนเอเซียอาคเนย์ปัญหาเรื่องอิทธิพลในเขตแดนต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเวลาทำความตกลงกัน

 แผนที่ประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 1  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์      ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์

 การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์     
   หลังจากที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงปราบจลาจลในปลายสมัยธนบุรีเสร็จสิ้นแล้ว  จึงได้ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรี  และขึ้นครองราชย์ในฐานะปฐมกษัตริย์ แ่ห่งราชวงศ์จักรี  ทรงพระนาว่า  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
     สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ได้ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรี มายังฝั่งกรุงเทพฯ  ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา  เมื่อ พ.ศ.  2325
    สาเหตุที่ทรงย้ายราชธานี  มีดังนี้  คือ
     1.  พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ  มีวัดขนาบทั้ง  2  ข้าง  (คือวัดท้ายตลาด หรือวัดโมลีโลกยาราม  และวัดอรุณราชวราราม) 
     2.  ทรงไม่มีพระประสงค์จะให้ราชธานีแบ่งออกเป็น  2  ส่วน  โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยากั้น
     3.  พื้นที่นทางฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่ม  สามารถขยายเมืองออกได้อย่างกว้างขวาง
     4.  ฝั่งธนบุรีพื้นที่เป็นท้องคุ้ง  น้ำกัดเซาะตลิ่งพังทลายได้ง่าย
     ในการสร้างพระบรมมหาราชวัง  โปรดให้สร้างวัดขึ้นในพระบรมมหาราชวังด้วย  คือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  หรือวัดพระแก้ว  แล้วอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน
กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
      กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น  หมายถึง  ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัชกาลที่ 1  ถึง  รัชกาลที่  3  ซึ่งนับว่าเป็นระยะเชื่อมต่อระหว่างประวัติศาสตร์ไทยยุคเก่า มาสู่การปฏิรูป และพัฒนาประเทศ ตามแบบอารยธรรมตะวันตกในยุคปัจจุบัน
     ความเจริญในด้านต่าง ๆ  ในสมัยรัชกาลที่  1  ถึงรัชกาลที่  3  มีดังนี้
  1. ารปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ถือตามแบบสมัยอยุธยา  โดยมีพระมหาษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด
  2. การปกครองส่วนกลาง มีลักษณะดังนี้  คือ
    • มีอัครมหาเสนาบดี  2  ตำแหน่ง  คือ
      • สมุหกลาโหม  เป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร  และปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้
      • สมุหนายก  เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน และปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ
    • มีจตุสดมภ์ทั้ง  4  ฝ่าย  ภายใต้การดูแลของสมุหนายก  ได้แก่
      • เสนาบดีกรมเมือง
      • เสนาบดีกรมวัง
      • เสนาบดีกรมคลัง
      • เสนาบดีกรมนา
  3. การปกครองส่วนภูมิภาค  แบ่งหัวเมืองออกเป็น  3  ประเภท  คือ
    1. หัวเมืองชั้นใน  หรือเมืองจัตวา
    2. หัวเมืองชั้นนอก
    • หัวเมืองประเทศราช  ถ้าเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลราชะานี จะต้องส่งเครื่องบรรณาการมาให้เมืองหลวง  3  ปีต่อครั้ง  ส่วนเมืองที่อยู่ใกล้ราชธานี ให้ส่งมาปีละครั้ง
  4. กฎหมายไทยในสมัยนี้ ถือตามแบบอย่างอยุธยาและธนบุรี  แต่ได้มีการแก้ไขตรวจสอบขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 1  มีชื่อว่า  กฎหมายตราสามดวง  คือ  ตราราชสีห์  ตราคชสีห์  และตราบัวแก้ว ใช้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5
  5. การศึกษามีศูนย์กลางอยู่ที่วัด  วัง  และตำหนักเจ้านาย   รัชกาลที่  3  โปรดให้จารึก ตำราการแพทย์แผนโบราณ ไว้ที่วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) ซึ่งได้ชื่อว่า  เป็นวัดมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย
  6. การศาสนา  การทำนุบำรุงศาสนา จะมีการทำสังคายนา ชำระพระไตรปิฎก  การออกกฎหมายสำหรับพระสงฆ์ และการสร้างวัดสำคัญ  เช่น วัดพระศรีรัตนศาดาราม  วัดสุทัศน์เทพวราราม  และวัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม  เป็นต้น  ในสมัยรัชกาลที่  2  โปรดให้ส่งทูตไปศึกษาความเป็นไป ของพระพุทธศาสนาในลังกา  และได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์จากลังกา กลับมา  ในสมัยรัชกาลที่  มีการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดเป็นจำนวนมาก  จนนับได้ว่า เป็นสมัยที่มีการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
  7. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ได้ขยายตัวมากขึ้น  เนื่องจากอยู่ในยุคแห่งการ ปฏิวัติอุตสาหกรรม และลัทธิจักรวรรดินิยม  ชาติตะวันตกที่สำคัญ ที่เข้ามาติดต่อกับไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ได้แก่ 
    1. โปรตุเกส  เป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อ  ชาวโปรตุเกส ชื่อ อันโตนิโอ  เอด วิเสนท์ (องตนวีเสน) เป็นผู้อัญเชิญสาส์นเข้ามา ในรัชกาลที่ 1  ในสมัยรัชกาลที่ 2 ไทยได้ส่งเรือไปค้าขาย กับโปรตุเกส ที่มาเก๊า  และโปรตุเกสได้ขอเข้ามาตั้งสถานกงสุล ในประเทศ ได้สำเร็จเป็นประทเศแรก
    2. อังกฤษ  พยายามทำไมตรีกับไทย เพื่อหวังประโยชน์ในดินแดนมลายู   ในสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษ ได้มาขอความช่วยเหลือให้ไทยไปช่วยรบกับพม่า  ไทยกับอังกฤษ ได้ทำสนธิสัญญา โดยสมบูรณ์เป็นฉบับแรก ในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ สนธิสัญญาเบอร์นี ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369  โดยมีสาระสำคัญ คือ  ไทยกับอังกฤษ จะมีไมตรีจิตต่อกัน  อำนวยความสะดวกในด้านการค้าซึ่งกันและกัน และเรือสินค้า ที่เข้ามาค้าขาย ต้องเสียภาษีเบิกร่อง หรือภาษีปากเรือ แทนการเก็บภาษีตามแบบเดิม
กรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
     หัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทยตอนนี้ อยู่ที่การทำ สนธิสัญญาเบาริง ในสมัยรัชการที่ 4 ที่มาและสาระสำคัญของการทำสนธิสัญญาเบาริง มีดังนี้สนธิสัญญาเบาริง
  1. ในสมัยรัชการที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนแปลงนโยบาย ต่างประเทศ มาเป็นการคบค้ากับชาวตะวันตก  เพื่อความอยู่รอดของชาติ  เนื่องจากทรงตระหนักถึงภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งกำลังคุกคามประเทศต่าง ๆ  อยู่ในขณะนั้น
  2. จุดเร่ิมของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ คือ การทำสนธิสัญญาเบาริง กับอังกฤษ ใน พ.ศ. 2398  โดยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ได้แต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น  เบาริง เป็นราชทูตเข้ามาเจรจา
  3. สาระสำคัญของสนธิสัญเบาริง มีดังนี้
    • อังกฤษขอตั้งสถานกงสุลในประเทศไทย
    • คนอังกฤษมีสิทธิเช่าที่ดินในประเทศไทยได้
    • คนอังกฤษสามารถสร้างวัด และเผยแพร่คริสต์ศาสนาได้
    • เก็บภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 3
    • พ่อค้าอังกฤษและพ่อค้าไทยมีสิทธิค้าขายกันได้โดยเสรี
    • สินค้าต้องห้าม ได้แก่่ ข้าว  ปลา  เกลือ
    • ถ้าไทยทำสนธิสัญญากับประเทศอื่น ๆ  ที่มีผลประโยชน์เหนือประเทศ อังกฤษ  จะต้องทำให้อังกฤษด้วย
    • สนธิสัญญานี้ จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้  จนกว่าจะใช้แล้ว  10  ปี  และในการแก้ไข ต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย และต้องบอกล่วงหน้า 1 ปี
  4. ผลของสนธิสัญญาเบาริง
    • ผลดี
      1. รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
      2. การค้าขยายตัวมากขึ้น เปลี่ยนแปลงการค้าเป็นแบบเสรี
      3. อารยธรรมตะวันตก เข้ามาแพร่หลาย  สามารถนำมาปรับปรุงบ้านเมือง ให้เจริญก้าวหน้ามาขึ้น
    • ผลเสีย
      1. ไทยเสียสิทธิทางการศาลให้อังกฤษ และคนในบังคับอังกฤษ
      2. อังกฤษ เป็นชาติที่ได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง
      3. อังกฤษ เป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงไม่ยอมทำการแก้ไข
          ผลจากการทำสนธิสัญญาเบาริง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้สภาพสังคมไทย เปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม  เพื่อนำประเทศให้เจริญก้าวหน้า ตามแบบอารยธรรมตะวันตก  การเปลี่ยนแปลง   ในด้านต่าง ๆ   มีดังนี้
  1. ด้านการปกครอง  ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณีบางอย่าง เพื่อให้ราษฎร มีโอกาสใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์  คือ  เปิดโอกาสให้ราษฎร เข้าเฝ้าได้โดยสะดวก  ให้ราษฎรเข้าเฝ้าถวายฎีการ้องทุกข์ได้ ในขณะที่ทรงเสด็จพระราชดำเนิน  ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูปการปกครอง ครั้งสำคัญ  โดยแบ่งเป็น  2  ระยะ  คือ  การปรับปรุงในระยะแรก ให้ตั้งสภา 2 สภา คือ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) และ สภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy Council) กับการปรับปรุงการปกครอง ในระยะหลัง (พ.ศ. 2435)  ซึ่งนับว่า เป็นการป2. การปฏิรูปกฎหมายและการศาล  ในรัชกาลที่ 4  ทรงตรากฎหมายขึ้นหลายฉบับ  เพื่อให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพบ้านเมือง  เช่น  กฎหมายเกี่ยวกับมรดก  สินสมรส  ฯลฯ  ในสมัยรัชกาลที่ 5  การปฏิรูปกฎหมายและการศาลครั้งสำคัญ  มีในสมัยรัชกาลที่  5  ดดยมีกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  (พระบิดาแห่งกฎหมาย)  เป็นกำลังสำคัญ  ผลการปฏิรูปกฎหมายและการศาล  มีดังนี้
    • ตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมาย
    • ตรากฎหมายขึ้นตามแบบอารยประเทศ  ฉบับใหม่ และทันสมัยที่สุด คือ กฎหมาย ลักษณะอาญา
    • จัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น
    ในสมัยรัชกาลที่  6  โปรดให้ปฏิรูปเพิ่มเติมดังนี้
    • ตั้งกรมร่างกฎหมาย
    • ร่างกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
    • ทรงดำเนินการเพื่อหาทางแก้ไขสิทธิสภาพนอกอาณาเขต  เช่น  การส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่  1
    3. ด้านเศรษฐกิจ  ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริงแล้ว  การค้าของไทยเจริญก้าวหน้าขึ้น มาก  ทำให้มีการปรับปรุงด้านเศรษฐกิจ  เช่น  ในรัชกาลที่ 4  ทรงเปลี่ยนการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินเหรียญ และขุดคลอง  ตัดถนนเพิ่มขึ้นหลายสาย  ในสมัยรัชกาลที่  5  เปลี่ยนมาตราเงินไทยมาใช้ระบบทศนิยม  ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนเงิน  ให้ใช้เหรียญบาท  สลึง  และเหรียญสตางค์แทนเงินแบบเดิม  มีการจัดตั้งธนาคารของเอกชนขึ้นเป็นครั้งแรก  คือ  แบางก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบัน คือ ธนาคารไทยพาณิชย์)  ในสมัยรัชกาลที่  6  โปรดให้ตั้งคลังออมสินขึ้น (ปัจจุบันคือ ธนาคารออสนิ)
    4.  ด้านการศึกษา  ผู้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาของไทย ตามแบบสมัยใหม่ คือ คณะมิชชันนารีอเมริกัน  ซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3  และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4  ก็ได้ตั้งโรงเรียนชายขึ้นที่ตำบลสำเหร่  ซึ่งปัจจุบัน คือ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  ส่วนโรงเรียนสตรีแห่งแรกในไทย คือ โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง  (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนวัฒนาวิทยา)  ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญขึ้น  เืพื่อสร้างคนที่มีความรู้ให้เข้ารับราชการ เพื่อพัฒนาประเทศ  ทั้งนี้ได้มีโรงเรียนประเภทต่าง ๆ  เกิดขึ้น คือ  โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก  โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และโรงเรียนวัดมหรรณพาราม (โรงเรียนสำหรับราษฎรแห่งแรก)  นอกจากนี้ ยังได้โปรดให้จัดทำแบบเรียนขึ้น ซึ่งเรียบเรียงโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย  อาจารยางกูร) 
         ในคราวที่ปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เพื่อรับผิดชอบในด้านการศึกษา  และยังได้พระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงอีกด้วย  ส่วนการปรับปรุงการศึกษาที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 6  มีดังนี้
    •    ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นใช้ในปี พ.ศ. 2464
    • ให้เรียกเก็บเงิน "ศึกษาพลี" จากราษฎรเพื่อบำรุงการศึกษาในท้องถิ่น
    • ตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นเป็นแห่งแรก คือ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
    5.  ด้านศาสนา  รัชกาลที่ 4 ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติ ลักษณะการปกครองสงฆ์เป็นฉบับแรก  โดยมีสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาสูงสุด  มีมหาเถรสมาคมให้คำปรึกษา  โปรดให้สร้างวัดขึ้นหลายแห่ง  เช่น  วัดโสมนัสวิหาร  วัดราชประดิษฐ์  วัดปทุมวนาราม ในสมัยรัชกาลที่  5  ทรงมีพระกรณียกิจที่สำคัญ คือ โปรดให้จัดตั้งสถานศึกษาสำหรับพระสงฆ์ขึ้น 2 แห่ง (ซึ่งต่อมา เป็นมหาวิทยาลัยของสงฆ์ หรือมาหวิทยาลัยพระพุทธศาสนา มีการศึกษาถึงระดับปริญญาเอก) คือ
    • มหาจุฬาลงกรณราชวิทยา อยู่ที่วัดมหาธาตุฯ เป็นสถานศึกษาของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงการณราชวยิทยาลัย  ศึกษาได้ทุกนิกาย  ทั้งพระสงฆ์ และฆราวาส ทั่วโลก
    • มหามกุฏราชวิทยาลัย  อยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร  เป็นสถานศึกษาของพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย (ปัจจับันคือ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย  การให้บริการด้านการศึกษา  เช่นเดียวมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
       
    6.  ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี  ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า  ทรงให้เสรีภาพประชาชน ในการนับถือศาสนาและประกอบอาชีพ  โปรดให้สตรีได้ยกฐานให้สูงขึ้น  ในสมัยรัชกาลที่  5  โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการสวมเสื้อราชปะแตก และสวมหมวกอย่างยุโรป  ให้ข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบ ตามแบบตะวันตก  โปรดให้ผู้ชายในราชสำนัก ไว้ผมทรงมหาดไทย เปลี่ยนมาไว้ผมตัดยาวทั้งศีรษะแบบฝรั่ง  โปรดให้ผู้หญิงเลิกไว้ผมปีก  ให้ไว้ผมตัดยาว  ที่เรียกว่า "ทรงดอกกระุุทุ่ม"  ทรงแก้ไขประเพณีการสืบสันตติวงศ์  โดยยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แล้วโปรดเกล้าฯ  ให้แต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ขึ้น  ทรงเลิกประเพณีหมอบคลานเข้าเฝ้า และให้ยืนเข้าเฝ้าแทน  ยกเลิกการโกนผม เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต  ยกเลิกการไต่สวนคดีแบบจารีตนครบาล  และที่สำคัญที่สุด  ที่พระองค์ทรงได้พระราชสมัญญานาม ว่่า "พระปิยมหาราช"  ซึ่งแปลว่า มหาราชที่ทรงเป็นที่รักของประชาชน  คือการยกเลิกระบบไพร่ และระบบทาส  ในสมัยรัชกาลที่ 6  ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัตินามกสุล  โปรดให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางราชการ  แทนรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)  เปลี่ยนแปลงการนับเวลาทางราชการ ให้สอดคล้องกับสากลนิยม  โปรดให้กำหนดคำนำหน้าชื่อเด็กหญิง เด็กชาย นางสาว และนาง  เปลียนแปลงธงประจำชาติ จากธงรูปช้างเผือก มาเป็นธงไตรรงค์  ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ ตามแบบประเทศยุโรป
    7.  ด้านศิลปกรรม  ในสมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการก่อสร้างแบบ ตะวันตก  เช่น  พระราชวังสราญรมย์  พระนครคีรีที่เพชรบุรี  ด้านจิตรกรรม  ได้แก่  ภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถ และวิหารวัดบวรนิเวศวิหาร  จิตรกรเอกในสมัยนี้  ได้แก่  ขรัวอินโข่ง  ซึ่งเริ่มเขียนภาพแบบสามมิติ ตามแบบตะวันตก เป็นบุคคลแรก  ในสมัยรัชกาลที่ 5  สถาปัตยกรรม ได้รับอิทธิพล แบบตะวันตกมากขึ้น  ประติมากรรม  ได้แก่  พระพุทธชินจำลอง  วัดเบญจมบพิตร  พระบรมรูปหล่อพระมหากษัตริย์ 4 รัชกาล  พระราชนิพนธ์ที่สำคัญ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ พระราชพิธีสิบสองเดือน  พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เงาะป่า ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการก่อสร้างตามแบบไทย ได้แก่ หอประชุมโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย  อนุสาวรีย์ทหารอาสา  การก่อสร้างแบบตะวันตก เช่น พระราชวังสนามจันทร์ พระราชวังพญาไท  ด้านจิตรกรรม  ได้แก่ ภาพเขียนที่ฝาผนังวิหารทิศ ที่นครปฐม  การก่อสร้างพระพุทธรูป  เช่น  พระแก้วมรกตน้อย  แม่พระธรณีบีบมวยผม ฯลฯ  ด้านดนตรี และการแสดงละคร มีความรุ่งเรืองมาก มีการแสดงละครเพิ่มขึ้น หลายประเภท  เช่น ละครร้อย ละครพูด  ด้านวรรณคดี  ได้มีพระราชนิพนหลายเรื่อง เช่น  เวนิสวานิช  พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร  ฯลฯ  ในรัชสมัยนี้ ได้มีการก่อตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้นด้วย
  2. ฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ โดยมีลักษณะ คือ  การปกครองส่วนกลาง  โปรดให้ยกเลิกการปกครอง แบบจตุสดมภ์ และ จัดแบ่งหน่วยราชการเป็นกรมต่าง ๆ  12 กรม (กะรทรวง) มีเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง  การปกครองส่วนภูมิภาค  ทรงยกเลิก การจัดหัวเมืองที่แบ่งเป็นเมืองชั้นเอก  โท  ตรี  และจัตวา เปลี่ยนการปกครองเป็น เทศาภิบาล  ทรงโปรดให้รวมเมืองหลายเมืองเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ปกครอง ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย  กับทรงแบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด (เมือง) อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน  และการปกครองส่วนท้องถิ่น  เริ่มจัดการทดลองแบบ สุขาภิบาลขึ้นเป็นครั้งแรก


 แผนที่อาณาจักรสุโขทัย     ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัย

           (พ.ศ.  1780 - 1981)
การสถาปนากรุงสุโขทัย
     ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย  ดินแดนตั้งแต่ภาคเหนือ ลงมา แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาถึงอ่าวไทย อยู่ภายใต้การปกครองของขอม  โดยดินแดนตั้งแต่ปากน้ำโพขึ้นไป เป็นอาณาเขตสยาม  มีเมืองสุโขทัยเป็นศูนย์กลาง  และดินแดนส่วนใต้ ตั้งแต่ปากน้ำโพ ลงมาถึงอ่าวไทย  เป็นอาณาจักรละโว้  ราวปี  พ.ศ.  1780  พ่อขุนบางกลางหาว (หรือพ่อขันบางกลางท่าว)  เจ้าเมืองบางยาง  และพ่อขันผาเมือง  เจ้าเมืองราช  ได้ร่วมกันรวบรวมกำลัง เข้าตีเมืองสุโขทัยและเมืองต่าง ๆ  ของขอม  แล้วสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี  โดยมีพ่อขุนบางกลางหาวเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์พระร่วง  ทรงพระนามว่า  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  ปกครองกรุงสุโขทัย  และมีกษัตริย์สืบต่อมารวม  9  พระองค์ ดังนี้
  1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สถาปนาเป็นกษัตริย์  โดยมีสุโขทัยเป็นราชธานี  ประมาณ  พ.ศ.  1781
  2. พ่อขุนบางเมือง  เป็นโอรสองค์ที่สองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์  สิ้นรัชกาลราวปี  พ.ศ.  1820
  3. พ่อขันรามคำแหง  พระนามเดิมว่าร่วง  เป็นโอรพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ กับนางเสือง  เมื่อชนช้างชนะเจ้าเมืองฉอด  พระบิดาจึงทรงพระราชทานนามว่า  "รามคำแหง"  ทรงครองราชย์ตั้งแต่ราวปี  พ.ศ.  1822
  4. พ่อเจ้าเลอไทย  ครองราชย์ปี พ.ศ. 1843
  5. พระยางั่วนำถม  เริ่มรัชกาลเมืองใด ไม่ปรากฏชัด  แต่สิ้นรัชกาลราว  พ.ศ.  1890
  6. พระมหาธรรมราชาที่  1  (พญาลิไท)  ครองราชย์ช่วง  พ.ศ.  1890 - 1917
  7. พระมหาธรรมราชาที่  2  (พระเจ้าไสยลือไท)  ครองราชย์ช่วง  พ.ศ.  1917 - 1942  ช่วง  พ.ศ.  1921  ได้ตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา
  8. พระมหาธรรมราชที่  3  ครองราชย์ช่วง  พ.ศ.  1942 - 1962  ได้ย้ายราชธานี จากสุโขทัยมาพิษณุโลก
  9. พระมหาธรรมราชาที่  4  ครองราชย์ช่วง  พ.ศ.  1962 - 1981  เป็นกษัตริย์วงศ์สุดท้ายแห่งราชวงศ์สุโขทัย  
     ยุคแรกของอาณาจักรสุโขทัย  มีเมืองใหญ่ที่สุโขทัย และเมืองเชลียง และมีเมืองเล็ก ๆ  อยู่ตามลุ่มแม่น้ำปิง  วัง  ยม  น่าน  ด้านเหนือติดเมืองแพร่  ด้านใต้ติดเมืองพระบาง (คือนครสวรรค์ในปัจจุบัน)  พลเมืองไม่มากนัก
ในสมัยพ่่อขุนรามคำแห่ง ได้มีการแผ่ขยายอาณาเขตไปมากมาย
  • ทิศเหนือ   จดเขตล้านนาไทยที่ลำปาง
  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  จดเมืองแพร่  น่าน  พลั่ว (อำเภอปัวในจังหวัดน่าน ปัจจุบัน)  และหลวงพระบาง
  • ทิศตะวันออก  จดเมืองเวียงจันทน์และเวียงคำ
  • ทิศใต้  จดปลายแหลมมลายู
  • ทิศตะวันตก  ถึงฝั่งมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงเมืองฉอด  หวงสาวดี  ทวาย  และตะนาวศรี
     กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ได้ครองราชย์สืบต่อกันมาเป็นเวลาราว  200  ปี  คือ  ตั้งแต่  พ.ศ.  1780 - พ.ศ.  1981  แต่ในราวปี  พ.ศ.  1983  กลุ่มคนไทยทางตอนใต้กรุงสุโขทัย ได้สถาปนาอาณาจักรบริเวณลุ่มแน่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างขึ้น  โดยมีพระรามาธิบดีที่  1  (พระเจ้าอู่ทอง)  เป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรอยุธยา
     อาณาจักรอยุธยาซึ่งมีทำเลที่ตั้งดี  มีกษัตริย์ที่เข้มแข็ง ได้ขยายอำนาจเพิ่มขึ้นตามลำดับ  และสามารถยึดครองอาณาจักสุโขทัยเป็นประเทศราชได้ ในสมัยพระมหาธรรมราช
หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามการปกครองสมัยสุโขทัย
     การปกครองสมัยสุโขทัย  เป็นการปกครอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจสูงสุด อยู่กับพระมหากษัตริย์  แต่เนื่องจากอาณาเขตของสุโขทัย ไม่กว้างขวางนัก ประชากรก็ยังมีไม่มาก  รวมทั้งกษัตริย์ ทรงเป็นธรรมราชา ปกครองอาณาจักร เสมือนเป็นผู้นำชุมชน หรือพ่อเมือง  การปกครองในระยะแรกของสมัยสุโขทัย จึงมีลักษณะเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก
    การปกครองภายหลังสมัยพ่อขุนรามคำแห่ง มหาราช ได้เปลี่ยนแปลงไปตามอิทธิพลของขอม  คือ  ยกย่องฐานะของกษัตริย์ให้สูงขึ้น  พระนามของกษัตริย์ จึงเปลี่ยนแปลงจาก "พ่อขุน" เป็น  "พญา"
     ลักษณะการปกครอง ที่เป็นการกระจายอำนาจ คือ การกระจายอำนาจจากศูนย์กลาง ไปยังเมืองอื่น ๆ  ทั้งนี้ เพื่อรักษาและป้องกันมิให้ดินแดนเหล่านั้นถูกแย่งชิง
     การปกครองที่มีแนวโน้มเข้าได้กับหลักการปกครองแบบประชาธิไตย ที่เห็นได้ชัด  คือ
  1. ราษฎรมีเสรีภาพในการเรียกร้องความยุติธรรมวัดมหาธาตุสุโขทัย
  2. ราษฎรมีเสรีภาพในการค้าขาย
  3. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
สังคมในสมัยสุโขทัย
  1. ศาสนาและความเชื่อ  เดิมชาวสุโขทัยนับถือผีบรรพบุรุษ เทพยดา และปรากฏการณ์ต่าง ๆ  ต่อมา พระพุทธศาสนา ได้เข้าเผยแผ่ โดยรับมาจากเมืองนครศรีธรรม ซึ่งถ่ายทอดมาจากลังกา จึงมีชื่อว่า ลัทธิลังกาวงศ์  ศาสนาที่มีอิทธิพลต่อชาวสุโขทัยอีกศาสนาหนึ่ง คือ  ศาสนาพราหมณ์
  2. ศิลปกรรม  สถาปัตยกรรม  ลักษณะเด่น ได้แก่การสร้างเจดีย์ ซึ่งพัฒนาเป็น  3  แบบ  คือ  ระยะแรก  นิยมสร้างเจดีย์ทรงกลม  ฐานเตี้ย  ระยะที่สอง  นิยมสร้างเจดีย์แบบบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์  และระยะที่สาม นิยมสร้างในลักษณะทรงกลมเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์  ฐานสูง  พระเจดีย์ที่ถือเป็นเอกลักษณะของสุโขทัย  ได้แก่  พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่วัดมหาธาตุ  พระเจดีย์กลาง ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว
     ประติมากรรม  ส่วนใหญ่ เป็นการปั้นพระพุทธรูป  ลักษณะเด่น ของพระพุทธรูป จมีลักษณะส่วนโค้งงามสง่า  เรียบและประณีต
       สำหรับพระพุทธรูป ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุด  คือพระพุทธรูปปางลีลา


ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา

(พ.ศ. 1893 - 2310)

การสถาปนากรุงศรีอยุธยา
       ในราวปี  พ.ศ.  1893  เมื่อกรุงสุโขทัย เริ่มเสื่อมอำนาจลง หัวเมืองต่าง ๆ  จึงแข็งข้อ  เมืองอู่ทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัยเป็นเมืองใหญ่  พระเจ้าอู่ทอง จึงเริ่มสะสมกองกำลัง และเป็นผู้นำคนไทย ที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง  และตอนล่าง  ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นอิสระจากสุโขทัย  โดยตั้งราชธานีบริเวณหนองโสน  หรือบึงพระราม  ซึ่งก็คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน  เหตุที่ย้ายเมืองมาสร้างราชธานีที่กรุงศรีอยุธยา  ก็เนื่องจากเป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ และเป็นที่รวมของแม่น้ำหลายสาย  จึงเป็นปากประตูสู่เมืองทางด้านเหนือทั้งสุโขทัยและเชียงใหม่  พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์อู่ทอง  ทรงพระนาว่า  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1  ครองราชย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาอยู่นานเป็นเวลาถึง  20  ปี
แผนที่ประเทศไทยสมัยอยุธยา
แผนที่ประเทศไทยสมัยอยุธยา
     กรุงศรีอยุธยามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาโดยลำดับ  ทั้งนี้เพราะทำเลที่ตั้ง มีความเหมาะสมหลายประการ  คือ
  1. ในด้านยุทธศาสตร์  มีภูมิประเทศเป็นเกาะ  มีแม่น้ำล้อมรอบ  3  สาย  ได้แก่  แม่น้ำเจ้าพระยา  แม่น้ำป่าสัก  และแม่น้ำลพบุรี
  2. ในด้านเศรษฐกิจ
  • เป็นศูนย์กลางการคมนาคม  เพราะมีแม่น้ำไหลผ่านถึง  3  สาย
  • พื้นดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะในการทำอาชีพเกษตรกรรม
  • ตั้งอยู่ใกล้ทะเล และส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้า
    ในการค้ากับต่างประเทศ
      กรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีอยู่เป็นระเวลาถึง  417  ปี  มีกษัตริย์ปกครองถึง  5  ราชวงศ์  ดังนี้
  1. ราชวงศ์อู่ทอง  (พ.ศ.  1893 - 1913  และ  พ.ศ.  1931 - 1952)
  2. ราชวงศ์สุวรรภูมิ (พ.ศ.  1913 - 1931  และ  พ.ศ.  1952 - 2112)
  3. ราชวงศ์สุโขทัย (พ.ศ. 2112 - 2172)
  4. ราชวงศ์ปราสาททอง (พ.ศ.  2172 - 2231)
  5. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง  (พ.ศ.  2231 - 2310)

การปกครอง

        การจัดการปกครองในระยะแรก เป็นการนำเอาลักษณะการปกครองในสมัยสุโขทัย และการปกครองของขอมเข้ามาใช้  ฐานะของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยสุโขทัย คือ  พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ  ทรงมีอำนาจสูงสุดในการปกครอง ซึ่งเรียกว่า  การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
     การจัดระเบียบการปกครองในสมัยอยุธยา แบ่งได้เป็น  2  สมัย  ดังนี้  คือ
  1. สมัยอยุธยาตอนต้น  (พ.ศ.  1893 - 1991)   มีลักษณะดังนี้
    • การปกครองส่วนกลาง  หรือการปกครองภายในราชธานี  เรียกว่า  การปกครองแบบจตุสดมภ์  มีขุนนาง  4  ฝ่าย ทำหน้าที่ดังนี้
      • กรมเวียง     มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในราชธานี
      • กรมวัง        มีหน้าที่เกี่ยวกับงานพระราชพิธีต่าง ๆ
      • กรมคลัง       มีหน้าที่เก็บพระราชทรัพย์ และผลประโยชน์ของแผ่นดิน
      • กรมนา         มีหน้าที่ดูแลการทำเรือกสวนไร่นา  และเก็บเสบียงไว้ใช้ในยามสงคราม
    • การปกครองส่วนภูมิภาค  ได้แก่  เมืองที่อยู่นอกราชธานี  โปรดให้เจ้านาย และขุนนางที่ไว้วางพระทัยไปปกครอง  แบ่งเป็น  3  ประเภท  ดังนี้
      • เมืองหน้าด่่าน   ได้แก่  เมืองที่อยู่รอบราชธานีทั้ง  4  ทิศ
      • เมืองชั้นใน      ได้แก่  เมืองที่อยู่ไม่ไกลราชธานีมากนัก
      • เมืองชั้นนอก    ได้แก่  เมืองที่อยู่ห่างไกลจากราชธานีมาก
    • หัวเมืองประเทศราช  ได้แก่  หัวเมืองที่อ่อนน้อม ยอมเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา  โปรดให้เจ้านายพื้นเมืองปกครองกันเอ
  2. การปรับปรุงการปกครองครั้งใหญ่ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
    • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ได้โปรดให้ปฏิรูปการปกครองครั้งสำคัญ ในปี  พ.ศ.  1991  การปฏิรูปการปกครองดังกล่าว ได้ใช้ตลอดมาจนสิ้นสุดสมัยอยุธยา
    • ผลการปรับปรุงการปกครอง  ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  มีดังนี้คือ
      • เปลี่ยนชื่อกรมต่าง ๆ  ของจตุสดมภ์  เป็นดังนี้
        • กรมเวียง  ใช้ชื่อว่า  นครบาล
        • กรมวัง     ใช้ชื่อว่า  ธรรมาธิกรณ์
        • กรมคลัง   ใช้ชื่อว่า  โกษธิบดี
        • กรมนา     ใช้ชื่อว่า   เกษตราธิการ
      • โปรดให้แยกงานฝ่ายทหารและพลเรือนออกจากกัน  โดยกำหนดให้สมุหกลาโหมเป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร  และสมุหนายก  เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน
      • แบ่งหัวเมืองชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก  โท  ตรี  ตามลำดับ
      • การปกครองหัวเมืองประเทศราช  โปรดให้เจ้านายของชนชาตินั้น ปกครองกันเอง  โดยต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้ตามลำดับ
        ปัญหาที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองในสมัยอยุธยา  คือการแย่งชิงราชสมบัติและอำนาจของขุนนางฝ่ายต่าง ๆ  เนื่องจากขาดความสามัคคี และไม่มีระบบการสืบราชสมบัติที่แน่นอนขาดประสิทธิภาพ
อนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สังคมในสมัยอยุธยา
       สังคมไทยในสมัยอยุธยา ประกอบด้วยบุคคล  5  กลุ่ม  ได้แก่  พระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูง   ขุนนาง  ไพร่  ทาส  และผู้ที่ได้รับการยกย่องเลื่อมใสจากคนทุกกลุ่ม คือ  พระสงฆ์
      ลักษณะการแบ่งชนชั้นในสังคมไทยมีลักษณะไม่ตายตัว  บุคคลอาจจะเสื่อมตำแหน่งฐานะทางสังคมของตนได้  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และคุณประโยชน์ที่มีต่อประเทศชาติ
  1. พระมหากษัตริย์ื  พระราชฐานะและอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในสมัยอยุธยา
    • ทรงมีฐานะเป็นสมมติเทพ  (ไทยได้รับแนวความคิดนี้ มาจากคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์
    • ทรงเป็นประมุขของประเทศ  มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง
    • ทรงมีพระราชอำนาจในฐานะเป็นเจ้าชีวิต  และเจ้าแผ่นดิน
    • ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
  2. เจ้านาย  หมายถึง  พระราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์  มีสกุลยศลดหลั่น ตามลำดับ  คือ เจ้าฟ้า  พระองค์เจ้า  หม่อมเจ้า  ฯลฯ
  3. ขุนนาง  มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือพระเจ้าแผ่นดิน ในการปกครองประเทศ  โดยพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานศักดินา ให้เป็นเครื่องตอบแทนอำนาจ และฐานะของขุนนาง มีดังนี้
    • ขุนนางเป็นชนชั้น ที่มีอำนาจมาก ทั้งในด้านการปกครอง และการควบคุมพลเมือง
    • ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงออกกฎหมายศักดินา จัดทำเนียบขันนาง ข้าราชการ ซึ่งประกอบด้วย ตำแหน่ง  ยศ  ราชทินนาม
    • ขุนนางที่มีไพร่พลมาก จะเป็นฐานแห่งกำลัง และอำนายที่สำคัญ  ปัญหา ความขัดแย้งในกลุ่มขุนนาง และเจ้านายจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
  4. ไพร่  หมายถึงสามัญชนทั่วไป  นับว่าเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แบ่งเป็น  3  ประเภท  คือ
    • ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่ขึ้นทะเบียนสังกัดต่อรัฐ  คือ องค์พระมหากษัตริย์  ต้องมาเข้าเวรเพื่อรับใช้ราชการปีละ 6 เดือน
    • ไพร่สม  หมายถึง  ไพร่ที่ขึ้นทะเบียนต่อเจ้านายและขุนนาง
    • ไพร่ส่วน  หมายถึง  ไพร่ที่ส่งผลิตผลมาแทนการเข้าเวร  เื่พื่อใช้แรงงาน
  5. ทาส  เป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม  แบ่งเป็น  2  ประเภท  คือ
    • ทาสที่ไถ่ถอนตัวได้  เรียกว่า  ทาสสินไถ่
    • ทาสที่ไถ่ถอนตัวไม่ได้  เช่น  ทาสเชลย  ลูกทาสเชลย ฯลฯ
  6. พระสงฆ์  พระสงฆ์ไม่จำกัดชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง  แต่เป็นที่เคารพของคนทุกชนชั้น  บทบาทและความสำคัญของพระสงฆ์ มีดังนี้
    1. เป็นที่พึ่งทางใจของคนทุกชนชั้น
    2. เป็นบุคคลที่เปรียบเสมือนตัวเชื่อมของชนชั้นสูง กับชนชั้นต่ำ
    3. เป็นผู้ให้การศึกษา  เพราะวัดเป็นศูนย์กลางของการศึกษา ในสมัยก่อน
      สถาบันที่มีอิทธิพลต่อสังคมในสมัยอยุธยาเป็นอันมาก ได้แก่  พระพุธะศาสนา เพราะเป็นศาสนาของทุกชนชั้น และเป็นเครื่องจรรโลงเอกภาพของสังคม  วัดในพระพุทธศาสนา จึงมีความสำคัญดังนี้
  1. เป็นศูนย์กลางของชุมชน
  2. เป็นสถานศึกษาเล่าเรียน โดยมีพระสงฆ์เป็นครู
  3. เป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมไทย
  4. เป็นสถานที่พบปะและจัดกิจกรรมของราษฎร
    
   


วัดพระศรีสรรเพชญ์
วัดพระศรีสรรเพชญ์

   กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่นานถึง  417  ปี  คือตั้งแต่  พ.ศ. 1893 - 2310  แต่กรุงศรีอยุธยา ได้เริ่มเสื่อมลงน้อย  นับแต่ต้นราชวงศ์บ้านพลูหวง เป็นต้นมา  โดยมีสาเหตุสำคัญดังนี้
     1.  เกิดการแย่งชิงราชสมบัติ
     2.  ขุนนางและเจ้านายผู้ใหญ่แตกสามัคคี
     3.  ทหารแตกแยกกัน  กองทัพขาดการเตรียมพร้อม
     นอกจากสาเหตุที่เกิดขึ้นภายในกรุงศรีอยุธยาเองดังกล่าวแล้ว  ยังประกอบกับพม่ามีกำลังและอำนาจมากขึ้น  ภายใต้การนำของกษัตริย์ราชวงศ์อลองพญา  พร่มจึงได้ปราบปรามกบฎ  และเคลื่อนทัพมายังดินแดนไทย  โดยเริ่มจากการตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ  เรื่อยมาจนล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้  โดยกรุงศรีอยุธยาไม่อาจต้านทานได้  เนื่องจากสาเหตุดังต่ไปนี้
  1. พระมหากษัตริย์อ่อนแอ
  2. แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถ ไม่ได้รับความสะดวกในการสู้รบ
  3. ทหารขาดความสามารถ  เพราะว่างศึกษานาน
     กรุงศรีอยุธยาต้องเสียแก่พม่าใน  พ.ศ.  2310  การเสียกรุงครั้งนี้  บ้านเมืองได้รับความเสียหายมาก  พม่าได้กวาดต้อนทรัพย์สมบัติ  และผู้ีคนไปเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก
       กรุงศรีอยุธยา ได้สิ้นสุดลงด้วยระยะเวลา  417  ปี  โดยทิ้งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง  รวมทั้งบทเรียนจากอดีต ที่มีผลให้เสียกรุง จนไม่อาจสถาปนาขึ้นใหม่ได้
แผนที่อยุธยาในสมัยรุ่งเรื่องในอดีต 

ประวัติชาติไทย



วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

17-บุคคลสำคัญสมัยอยุธยา

17-บุคคลสำคัญสมัยอยุธยา


บุคคลสำคัญสมัยอยุธยา
  • การที่ประเทศไทยของเราสามารถดำรงอยู่ได้อย่างน่าภาคภูมิใจในสังคมโลกปัจจุบันนี้ได้นั้น ก็เพราะว่าแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมาเราคนไทยมีบรรพบุรุษที่มีความกล้าหาญเสียสละในการปกป้องและ สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมมาโดยตลอด ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและชาวบ้านบางระจัน เป็นตัวอย่างของพระมหากษัตริย์และประชาชน สมัยอยุธยาที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมือง อันสมควรที่เยาวชนคนไทยทั้งหลายจะยกย่องสรรเสริญ และยึดถือเป็นแบบอย่าง
                       
อนุสาวรีย์วีรชนชาวบ้านบางระจัน

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133 - 2148)

  • สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระอัจฉริยะบุคคลอย่างเต็มภาคภูมิ ในยุคสมัยของพระองค์ ทรงเป็นนักการทหารที่มีพระปรีชาสามารถสูงเยี่ยม จนเป็นที่เล่าขานของคนร่วมสมัยทั่วไป พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความเด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญปัญหา ที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือ ทรงเป็นแบบฉบับของนักการปกครอง ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินไทย โดยคำนึงถึงความสุขสบาย ส่วนพระองค์เลย จนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ


พระราชประวัติ


  • พระนเรศวรทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและพระวิสุทธิ์กษัตรี ประสูติที่เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2098 ทรงมีพระพี่นางหนึ่งองค์และพระอนุชาผู้ซึ่งครองราชย์ สมบัติต่อมาคือ สมเด็จพระเอกาทศรถ
  • พระนเรศวรถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่เมืองพะโค(หงสาวดี) เมื่อพระชนมายุ 9 พรรษา ในคราวที่พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือและยึดเมืองพิษณุโลกไว้ได้และต่อมาก็ตีกรุงศรีอยุธยาได้ในปี พ.ศ. 2112 พระมหาธรรมราชาธิราชได้ขึ้นครองราชย์สมบัติในฐานะเมืองขึ้นของพม่า
  • สมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จกลับมากรุงศรีอยุธยา เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา โดยได้รับการ สถาปนาให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก มีตำแหน่งในฐานะอุปราชหรือวังหน้า เมื่อพระราชบิดาเสด็จ สวรรคต พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์สมบัติขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา
  • ทรงเสด็จสวรรคตที่เมืองฉาง รัฐฉานในพม่า เมื่อ พ.ศ. 2148 พระชนมพรรษาได้ 50 พรรษา พระอนุชาคือพระเอกาทศรถได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อมาพระเกียรติคุณ
  • สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "วีรกษัตริย์" หรือในพระนาม "พระองค์ดำ" ทรงพระปรีชาสามารถในการสงครามและการปกครอง อีกทั้งพระองค์ยังเป็นนักการต่างประเทศที่ทรงพระปรีชาสามารถในการดำเนินนโยบายอย่างกล้าหาญอีกด้วย
  • ในช่วงที่เสด็จกลับมาจากพม่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงมอบหมายให้พระองค์เสด็จไปปกครองหัวเมืองเหนือ โดยประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ในระยะเวลา 14 ปีที่ทรงปกครองหัวเมืองเหนือนั้นพระองค์ดำเนินการหลายอย่าง ที่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสงครามกอบกู้เอกราช เช่น ฝึกทหาร รวบรวมกำลังคนที่หลบหนีพม่าเข้าป่า ฝึกฝนยุทธวิธีการรบต่าง ๆ
  • สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการช่วยกษัตริย์พม่ารบหลายครั้ง เช่น การปราบเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองดังได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ไม่ไว้วางใจของพม่าและวางแผนที่จะลอบปลง พระชนม์ แต่พระองค์ทรงล่วงรู้ถึงแผนการเสียก่อน ดังนั้นพระองค์จึงทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127

พระเกียรติคุณ

  • สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "วีรกษัตริย์" หรือในพระนาม "พระองค์ดำ" ทรงพระปรีชาสามารถในการสงครามและการปกครอง อีกทั้งพระองค์ยังเป็นนักการต่างประเทศที่ทรงพระปรีชาสามารถในการดำเนินนโยบายอย่างกล้าหาญอีกด้วย
  • ในช่วงที่เสด็จกลับมาจากพม่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงมอบหมายให้พระองค์เสด็จไปปกครองหัวเมืองเหนือ โดยประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ในระยะเวลา 14 ปีที่ทรงปกครองหัวเมืองเหนือนั้นพระองค์ดำเนินการหลายอย่าง ที่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสงครามกอบกู้เอกราช เช่น ฝึกทหาร รวบรวมกำลังคนที่หลบหนีพม่าเข้าป่า ฝึกฝนยุทธวิธีการรบต่าง ๆ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการช่วยกษัตริย์พม่ารบหลายครั้ง เช่น การปราบเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ไม่ไว้วางใจของพม่าและวางแผนที่จะลอบปลง พระชนม์ แต่พระองค์ทรงล่วงรู้ถึงแผนการเสียก่อน ดังนั้นพระองค์จึงทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 

ด้านการปกครอง

  • เมื่อขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา สมเด็จพระนเรศวรได้เริ่มขยายอำนาจไปยังเมืองต่าง ๆ เช่น ล้านช้าง  เชียงใหม่  ลำปางและกัมพูชาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา 
  • เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการศึกสงครามหลายครั้ง รวมทั้งความพยายามฟื้นฟูอยุธยาหลังจากที่ถูก ปกครองโดยพม่า ทำให้พระองค์ทรงดำเนินนโยบายการปกครองที่เน้นระเบียบวินัยเข้มงวด 
  • นอกจากนี้ ทรงดำเนินนโยบายการปกครองแบบดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยส่งขุนนางออกไปปกครองเมือง สำคัญต่าง ๆ เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย

การขยายแสนยานุภาพทางการทหาร


  • สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำศึกสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมืองตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์สมบัติ และเกือบตลอดรัชสมัยที่ทรงครองราชย์ ทั้งการสงครามกับพม่าและเขมรที่ยกกองทัพเข้ามารุกราน หัวเมืองของอาณาจักรอยุธยา ดังที่ชาวต่างชาติชาวฮอลันดาที่เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาได้พรรณนา เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่า ทรงเป็นนักรบที่เก่งกาจ เป็น "วีรบุรุษนักรบ" ทรงรบชนะข้าศึก หลายครั้งและในหลายดินแดน

การขยายอำนาจทางการทหารของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

  • ทำให้เขตแดนอาณาจักรอยุธยา แผ่ขยายออกไปกว้างไกลที่สุดนับแต่สถาปนาอาณาจักรขึ้นมา ครอบคลุมทั้งเขตแดนมอญ พม่า ล้านนา ไทยใหญ่ ล้านช้างและเขมร พระองค์ทรงอุทิศเวลาตลอดรัชสมัยในการทำสงครามเสริมสร้างความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ให้กับอยุธยา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ

เหตุการณ์สงครามยุทธหัตถี


  • พ.ศ. 2135 กองทัพพม่าโดยพระมหาอุปราชาพระโอรสของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง เป็นแม่ทัพ คุมไพร่พลจำนวน 240,000 คน มาทางด่านเจดีย์สามองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพออกไป รับศึกที่บ้านหนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี สงครามครั้งนี้มีความสำคัญและเป็นที่เลื่องลือในการสู้รบระหว่างสองอาณาจักร นั้นคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแม่ทัพพม่า ที่บ้านหนองสาหร่าย สุพรรณบุรี และทรงใช้พระแสงของ้าวฟัน์ พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ทัพพม่าแตกพ่ายกลับไปและหลังจากสงครามครั้งนี้กรุงศรีอยุธยาว่างเว้นการสงครามกับพม่าเป็นเวลานานมากกว่า 150 ปี

ด้านการต่างประเทศ

  • สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศทั้งด้านการฑูต และการค้า พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการค้านานาชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการค้าทางทะเลเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจอยุธยาซึ่งได้รับความเสียหายจากสงคราม
  • การฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยา ประการหนึ่งของพระองค์ก็คือ ทรงอนุญาตให้พ่อค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะพ่อค้าตะวันตกเข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา ชาวต่างชาติที่เข้ามาในรัชสมัยนี้ คือ ชาวดัตซ์หรือฮอลันดา พระองค์ทรงโปรด ฯ ให้ฮอลันดาเข้ามาตั้งสถานีการค้าที่อยุธยาและเมืองอื่น ๆ เช่น ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สงขลา


สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

พระราชประวัติ


  • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 2 (เจ้าสามพระยา) กับพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย  พระองค์จึงเป็นเชื้อสายราชวงศ์สุพรรณบุรีและราชวงศ์พระร่วง  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของอยุธยา    


พระราชกรณียกิจที่สำคัญ  

1. การรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอยุธยา

  • เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นเสวยราชย์ใน พ.ศ. ๑๙๙๑ นั้น ทางสุโขทัยไม่มีพระมหาธรรมราชาปกครองแล้ว คงมีแต่พระยายุทธิษเฐียร  พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๔   ได้รับแต่งตั้งจากอยุธยาให้ไปปกครองเมืองพิษณุโลก ถึง พ.ศ. ๑๙๙๔  พระยายุทธิษเฐียรไปเข้ากับพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา  พระราชมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ปกครองเมืองพิษณุโลกต่อมาจนสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๒๐๐๖  สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เสด็จไปประทับที่พิษณุโลกและถือว่าอาณาจักรสุโขทัยถูกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


2. ด้านการปฏิรูปการปกครอง


  • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีพระประสงค์ที่จะดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางหรือราชธานี  จึงลดบทบาทของเจ้านายลงและเพิ่มอำนาจให้ขุนนาง  เพื่อป้องกันการแย่งชิงอำนาจจากเชื้อพระวงศ์ เช่น ลดฐานะเมืองลูกหลวง เมืองหลานหลวงลงเป็นเมืองชั้นจัตวาและส่งขุนนางไปปกครองแทนเจ้านาย มีการแยกฝ่ายทหารและพลเรือนโดยใช้ขุนนางตำแหน่งสมุหพระกลาโหมดูแลกิจการฝ่ายทหาร  สมุหนายกดูแลกิจการฝ่ายพลเรือนทั่วราชอาณาจักร 
  • ทรงตรากฎมนเทียรบาลขึ้นเพื่อความมั่งคงของสถาบันกษัตริย์  นอกจากนี้ยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินาได้แก่  พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง   พ.ศ. ๑๙๙๘  เพื่อประโยชน์ในการลำดับชั้นของบุคคลว่ามีศักดิ์ สิทธิ์ และอำนาจหน้าที่ต่างกันอย่างไร  เป็นการจัดระเบียบการปกครองให้มีแบบแผนรัดกุมกว่าเดิม
  • ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อยุธยาทำสงครามยืดเยื้อกับอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีพระเจ้าติโลกราชเป็นกษัตริย์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๘๔ - ๒๐๓๐)  ทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประทับที่เมืองพิษณุโลกนานถึง ๒๕ ปี  เพื่อดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือและเพื่อความสะดวกในการป้องกันการรุกรานของล้านนา  ในระยะนี้จึงถือว่าเมืองพิษณุโลกมีฐานะเป็นราชธานีของอาณาจักรอยุธยา
  • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคตใน พ.ศ. 2031  ทรงอยู่ในราชสมบัติ 40 ปี นับว่านานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยาทุกพระองค์

16-ภูมิปัญญาไทยสมัยอยุธยา

16-ภูมิปัญญาไทยสมัยอยุธยา

ภูมิปัญญาไทยสมัยอยุธยา

  • ภูมิปัญญา ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะความเชื่อ และศักยภาพในการแก้ปัญหาของมนุษย์ที่สืบทอดกันมาจากอดีตถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดสายและเชื่อมโยงกันทั้งระบบทุกสาขา
  • ภูมิปัญญา  หมายถึง  ความรู้  ทักษะ  ความเชื่อ  และพฤติกรรมของคนไทย  โดยแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน  คนกับธรรมชาติ  การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของบุคคล  ชุมชนและสังคม  ตลอดจนพื้นฐานความรู้เรื่องต่าง  ๆ  ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง 
  • ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะและเทคนิคการตัดสินใจ ผลิตผลงานของบุคคล อันเกิดจากการสะสมองค์ความรู้ทุกด้านที่ผ่านกระบวนการสืบทอด พัฒนาปรับปรุง และเลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดีสามารถแก้ไขปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย

ภูมิปัญญาด้านศาสนาและความเชื่อ


  • พระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูมีบทบาทต่อการวางรากฐานระบบการเมืองบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นคติความเชื่อนี้ได้หล่อหลอมสังคมอยุธยาให้เป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดจากความเหมาะสม ทางสภาพภูมิศาสตร์และความรู้ที่สะสมมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษทำให้อยุธยาเป็นแหล่งเพาะปลูก 
  • โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งการปลูกข้าวถือเป็นภูมิปัญญาที่สำคัญของคนอยุธยาที่รู้จักคัดเลือก พันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่น้ำท่วมถึง คือข้าวพันธุ์พิเศษนอกจากนี้ชาวอยุธยารู้จักปลูกต้นไม้ผลไม้ในบริเวณที่เป็นคันดินธรรมชาติ (Natural Levee) ที่ขนานไปกับแม่น้ำลำคลองผลไม้เหล่านี้ได้รับปุ๋ยธรรมชาติทำให้มีรสชาติอร่อย พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกอยู่ในสังคมอยุธยา
  • ผู้มีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาย่อมเชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ทำให้พ้นทุกข์เนื่องจากมนุษย์ต้องเวียนว่าย ตายเกิดอันเกิดจากกฎ แห่งกรรมและเรื่องนรก สวรรค์ นอกจากนี้ยังเชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่ว่าทุกสิ่งคืออนิจจังภูมิปัญญา
  • จากความเชื่อนี้ทำให้ชาวอยุธยาสามารถ เผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากต่างๆในชีวิตได้ด้วยความอดทน นอกจากนี้การที่สังคมอยุธยาเป็นสังคมนานาชาติที่มีคนต่างชาติต่างศาสนาเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยพระมหากษัตริย์อยุธยาทรงอนุญาตให้ปฏิบัติพิธีกรรมและเผยแผ่ศาสนาได้โดยเสรี ความเป็นสังคมนานาชาติเกิดจากความเข้าใจและเห็นคุณค่าขันติธรรมในเรื่องศาสนาภูมิปัญญาด้านศาสนาทำให้คนอยุธยาหลักในการดำเนิน   ชีวิตเพื่อความสุขขิงตนเองและการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม 
  • ภูมิปัญญาในสมัยอยุธยาสามารถประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบัน คือ การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการนำเทคโนโลยีบางอย่างที่เหมาะสมมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพและความอดทนเข้าใจผู้อื่นที่มีเชื้อชาติ ศาสนาหรือมีความคิดแตกต่างกับตนเอง โดยมุ่งทำให้สังคมมีความสงบสุข
 ภูมิปัญญาด้านการประกอบอาชีพ


  • อยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีความรุ่งเรือง เศรษฐกิจของอยุธยามีทั้งที่ทำการเกษตรและการค้าภายใน ต่อมาจึงพัฒนาเศรษฐกิจเป็นการค้ากับนานาชาติ ภูมิปัญญาในด้านเกษตรกรรมชาวสวนผลไม้อยุธยา ได้ปรับปรุงพันธุ์ผลไม้จนทำให้ผลไม้ที่มีชื่อเสียง 
  • ในปัจจุบันด้วยภูมิปัญญา ดังนี้อยุธยาจึงมีปริมาณอาหาร พอเพียงกับความต้องการ ของพลเมือง ทำให้สามารถพึ่งตนเองได้ เพราะอาหารหลัก คือ ข้าวสามารถปลูกเองได้ สำหรับพืชผักและกุ้ง หอย ปู ปลา หาได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป
  • สภาพภูมิประเทศของอยุธยามีคูคลองเป็นจำนวนมาก ชาวอยุธยาใช้ประโยชน์จากคูคลองที่ปรียบเสมือนเป็นถนนให้เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้นได้มีการคมนาคมการขุดคลองลัด เพื่อย่นระยะทางจากปากแม่น้ำ เช่น คลองลัดบางกอกใหญ่ เพื่อความสะดวกในการคมนาคมขนส่งตั้งแต่ยุคกลาง เป็นต้นมา อยุธยาส่งข้าวเป็นสินค้าหลักไปขายยังต่างแดนเช่น ที่เมืองจีน 
  • นอกจากนี้ความเหมาะสมของที่ตั้งอยุธยาไม่ห่างจากทะเลมากนักและมีสินค้าหลากหลายชนิด ทำให้พ่อค้าต่างชาติเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยาทำให้อยุธยากลายเป็นเมืองท่านานาชาติโดยเฉพาะในพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ พระมหากษัตริย์อยุธยา
  • โปรดคัดสรรชาวต่างชาติให้เข้ารับราชการ โดยเฉพาะหน่วยงานทางทหารและการค้าในด้านการค้าชาวต่างชาติ เหล่านี้มีความชำนาญทั้งด้านการค้าและการเดินเรือ มีความรู้ด้านภาษาและเข้าใจวัฒนธรรมของชาติที่อยุธยาติดต่อค้าขายด้วยการรับชาวต่างชาติเข้ารับราชการ แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวอยุธยาที่รู้จักเลือก ใช้คนที่มีความชำนาญให้เป็นผู้รับผิดชอบงานต่างๆอยุธยาจึงสามารถขนส่งสินค้าบรรทุกสำเภาไปขายยังเมืองท่าดินแดนต่างๆได้โดยสะดวก
  • สำเภาอยุธยายังแสดงให้เห็นภูมิปัญญาไทย กล่าวคือพระมหากษัตริย์โปรดให้ต่อสำเภาโดยช่างชาวจีน เป็นเรือสำเภาประเภท ๒ เสา คล้ายกับสำเภาจีนซึ่งแล่นอยู่ตามทะเลจีนใต้ ใบเรือทั้งสองทำด้วยไม้ไผ่สานซึ่งหาได้ง่ายและมีน้ำหนักเบา ส่วนใบเรือด้านบนสุดและด้านหัวเรือใช้ผ้าฝ้ายซึ่งเป็นวัดุที่ชาวอยุธยาทอใช้ในครัวเรือนแต่วิธีการเป็นวิธีแบบชาวตะวันตกที่ช่วยให้สำเภาเร็วขึ้นสำหรับหางเสือของสำเภาเป็นไม้เนื้อแข็งคล้ายกับสำเภาจีน (ชนิดที่เดินทางไกล) แต่ทว่าหางเสือของสำเภาอยุธยา ได้เจาะรูขนาดใหญ่ไว้ ๓ รู แล้วสอดเหล็กกล้า ยึดติดกับลำเรือทำให้บังคับเรือได้ดีและมีความคงทน
  • นอกจากนี้บริเวณกาบเรือใช้น้ำมันทาไม้และใช้ยางไม้หรือสีทา ในส่วนของเรือที่จมน้ำโดยผสมปูนขาวเพื่อป้องกันเนื้อไม้และตัวเพลี้ยเกาะซึ่งทำให้เรือผุ สำเภาอยุธยานับเป็นภูมิปัญญาของคนอยุธยาที่ใช้เทคโนโลยีผสมกันระหว่างสำเภาจีนกับเรือแกลิออทของ ฮอลันดาเพื่อให้เรือวิ่งได้เร็วและทนทาน ภูมิปัญญาของชาวอยุธยาในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจ ของอยุธยามั่งคั่งรุ่งเรือง


ภูมิปัญญาด้านการตั้งถิ่นฐาน


  • การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่สมัยอดีตมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางภูมิศาสตร์ กล่าวคือ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งอาหารและในที่ซึ่งมีความปลอดภัยสำหรับอยุธยาตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มดินดอน สามเหลี่ยมเจ้าพระยาตอนล่างสภาพโดยทั่วไปของพื้นที่อุดมสมบูรณ์ สามารถผลิตอาหารได้เพียงพอกับความต้องการ ของชุมชน ขณะเดียวกันที่ตั้งของอยุธยายังตั้งอยู่ในบริเวณที่แม่น้ำเจ้าพระยาลพบุรี ป่าสักไหลมาบรรจบกัน ทำให้ปลอดภัยและสามารถใช้แม่น้ำลำคลองเหล่านี้เป็นเส้นทางคม นาคมติดต่อค้าขายและเข้าถึงแหล่งทรัพยากร ที่มีอยู่มากมายในหัวเมืองอื่นๆทางหัวเมืองเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือตลอดจนอาณาจักรที่อยู่ลึกเข้าไปเช่นอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง และพุกามได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ที่ตั้งของอยุธยาอยู่ห่างจากปากน้ำเจ้าพระยาประมาณ ๒๐๐  กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ ๓ วัน  เพื่อล่องเรือจากราชธานีไปจนถึงปากน้ำ ดังนั้นเมื่อข้าศึกยกทัพมาทะเลจึงมีเวลาเตรียมพร้อม
  • สำหรับการป้องกันเมืองการที่อยุธยา ที่มีที่ตั้งซึ่งมีสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้อยุธยามีความปลอดภัยและมีอาหารอุดมสมบูรณ์
  • อย่างไรก็ตามสภาพภูมิประเทศของอยุธยา ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จะมีน้ำท่วมขังกินเวลานานทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตั้งถิ่นฐานแต่ชาวอยุธยาและผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้ใช้ภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาโดยการ 
  • ปลูกเรือนใต้ถุนสูงพ้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม เมื่อน้ำ ลดพื้นดินแห้งดีแล้วสามารถใช้ประโยชนจากบริเวณใต้ถุนเรือนซึ่งเป็นที่โล่งทำกิจกรรมภายในครัวเรือน เช่น จักสาน ทอผ้า เลี้ยงลูก หรือใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์จับปลาและเครื่องมือมาทำนา  


 บ้านเรือนของชาวอยุธยามี ๒  ลักษณะคือ


  • ๑.เรือนชั่วคราวหรือเรือนเครื่องผูก  เป็นเรือนของชาวบ้านโดยทั่วไปสร้างด้วยไม้ไผ่หรือใบจากซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและสามารถรวบรวมกำลังคนในครอบครัวหรือเพื่อนบ้านปลูกเรือนได้ไม่ยาก
  • ๒.เรือนถาวรหรือเรือนเครื่องสับ  เป็นเรือนของผู้มีฐานะ เช่น ขุนนางหรือเจ้านาย ซึ่งเป็นเรือนที่สร้างอย่างประณีตด้วยไม้เนื้อแข็งหนาแน่นและทนทานไม้เหล่านี้ได้จากป่าในหัวเมืองเหนือที่ใช้วิธีล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยานอกจากเรือนยกพื้นสูงแล้วชาวอยุธยายังอาศัยอยู่ในเรือนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่มีเสา พื้นเรือนติดน้ำแต่ลอยได้ คือเรือนแพ ที่สะดวกสำหรับการ เคลื่อนย้าย เรือนแพนี้ยังทำหน้าที่เป็นร้านค้าด้วยดังนั้นที่กรุงศรีอยุธยาจึงมีเรือนแพตั้งเรียงรายตามแม่น้ำ ลำคลอง ชาวอยุธยานอกจากจะปรับตนให้เข้ากับภูมิประเทศที่ประกอบด้วยแม่น้ำลำคลองแล้วยังใช้ภูมิปัญญาดัดแปลงแม่น้ำลำคลอง เพื่อใช้ป้องกันข้าศึกได้ด้วยตัวอย่างเช่น ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่า จึงมีการเตรียมการโดยขยายขุดลอกคลองคูขื่อหน้าเพื่อให้อยู่ในสภาพที่รับศึกได้หรือการที่มหานาควัดท่าทราย ระดมชาวบ้านขุดคลองมหานาคเป็นคูป้องกัน พระนครชั้นนอกอีกชั้นหนึ่งเมื่อ พ.ศ.๒๐๘๖ เพื่อป้องกันศึกพม่า 
  • นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สภาพภูมิประเทศที่เป็นมาน้ำลำคลองจำนวนมาก ทำให้ชาวอยุธยามีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการใช้เรือในการ คมนาคมเรือสำหรับชาวบ้านเป็นเรือที่ต่ออย่างง่ายๆ เช่นเรือขุดและเรือแจว  แต่คนในสมัยอยุธยามีภูมิปัญญาในการขุดเรือยาว  ที่พระมหากษัตริย์อยุธยาใช้เป็นเรือรบในการขนกำลังคนไปได้เป็นจำนวนมาก พระมหากษัตริย์เสด็จพยุหยาตราเพื่อเสด็จไปทำสงครามและไดพัฒนาเป็นกองทัพเรือ ในเวลาที่บ้านเมืองเป็นปกติพระมหากษัตริย์ทรงใช้เรือเหล่านี้เสด็จพระราชดำเนินในพิธีต่างๆ เช่นพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน โดยจัดขบวนเรือรบซึ่งเท่ากับเป็นการซ้อมรบโดยปริยาย